วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2554
ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
ในอดีตมนุษย์ได้ค้นพบไฟฟ้าสถิตย์โดยบังเอิญ โดยเกิดจากการนำวัตถุ 2ชนิดมาถูกัน แล้วสามารถดูดสิ่งเล็กๆ เช่นกระดาษขึ้นมาได้
เราสามารถแบ่งไฟฟ้าออกได้เป็น
1.ไฟฟ้าสถิตย์ (Static Electricity)
เป็นไฟฟ้าที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ อย่างที่เห็นได้แก่ ฟ้าผ่า ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง หวีผมแล้วหวีดูดสิ่งของเล็กๆได้ ประโยชน์ของไฟฟ้าสถิตย์ที่มนุษย์นำมาใช้ที่เห็นในปัจจุบันคือ เครื่องถ่ายเอกสาร เป็นต้น
2.ไฟฟ้ากระแส(Current Electricity)
เกิดจากมนุษย์สร้างขึ้นมาจากวิธีการต่างๆและแบ่งย่อยออกได้เป็น
- ไฟฟ้ากระแสตรง
จะมีขั้วที่แน่นอนแยกเป็นขั้ว + กับ - อย่างเช่น ถ่านแบตเตอรี่ ไฟฉาย เป็นต้นความถี่
-ไฟฟ้ากระแสสลับ
คือไฟฟ้าที่ไม่มีขั้ว คือขั้วจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาดังจะเห็นได้จากไฟที่ใช้ในบ้าน
ในประเทศไทยใช้ 220 V ความถี่ 50Hz แต่สหรัฐและ ญี่ปุ่นใช้ 110V ความถี่ 60Hz เป็นต้น
ค่าแรงดันไฟฟ้าจะมี2 ลักญณะคือ
1.แรงดันสูงสุด โวลท์พีค Vp
คือแรงดันยอดคลื่นสูงสุดซึ่้งมีค่า 1.414 เท่าของแรงดันVrms ปกติ Vp ต้องใช้ออสซิโลสโคปวัด ถึงจะวัดค่าได้ยอดคลื่นไฟบ้านเราจะประมาณ311Vp
2.แรงดันประสิทธิผล Vrms
เป็นแรงดันที่มิเตอร์วัดได้ เป็นแรงดันแสดงงานจริงซึ่งใช้มิเตอร์วัดแล้วจะเท่ากับ 220 V สำหรับไฟฟ้าของบ้านเราครับ
สูตรสำหรับ Vp และ Vrms ครับ
Vp = 1.414 x Vrms หรือหาได้จาก
Vrms = 0.707 x Vp
ไฟฟ้าทั่วๆไปจะมีสายไฟ หรือเรียกว่า สาย ไลน์ ก็ไม่ผิดครับ อีกเส้นก็เป็นสายนิวตรอน ครับ
ไฟไฟ้าบ้านเรา ถ้าเป็น1เฟส เมื่อใช้มิเตอร์วัดไฟ ระหว่างสาย ไลน์ กับ นิวตรอน จะมีค่าที่ 220 โวลท์ครับ แต่บางคนอาจจะเห็นสายไฟหลายๆสาย เช่นในโรงงาน ส่วนมากเป็นไฟ 3 เฟส ส่วนมากใช้กับมอเตอร์ใหญ่ๆ ครับ มอเตอร์ 3เฟส จะยังไม่ขอกล่าวถึงนะครับ แต่ที่สมัยที่ผมเรียนอยู่จะมีบทเรียนที่ต่อมอเตอร์ 3 เฟส ที่รัน จาก สตาร์เป็น เดลต้า หรือ เดลต้าเป็น สตาร์ ก็แล้วแต่ จุดประสงค์ครับ
ระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูงก็จะมี 22KV 115KV 11KV 12KV ครับ และในประเทศไทย จะใช้ระบบส่งจ่าย69 115 230 และ 500KVในการส่งจ่ายกำลังไฟฟ้าครับ ในโรงงานผลิตจะมี2ส่วนที่เกี่ยวข้องกัน ระหว่างกำลังผลิตและกำลังงานไฟฟ้า
แหล่งกำเนิดการผลิตก็มีหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นกังหันลม ถ่านหิน พลังงานนิวเคลียร์ พลังงานน้ำจากเขื่อนมาปั่นเครื่องกำเนิดไฟฟ้า แก๊ส น้ำมัน เป็นเชื้อเพลิงในการผลิต
ในอิเล็กทรอนิกส์จะมีสิ่งที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ อาร์ แอล ซี ครับ
1.ตัวต้านทานไฟฟ้า Resistor หรือ อาร์ ชื่อก็บอกอยู่แล้วครับว่าตัวต้านทานคือ ไม่ยอมหรือกั้นไฟฟ้านั่นเอง โดยจะไม่ยอมให้กระแสไหลผ่านได้นั่นเองจะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับค่าความต้านทานถ้าความต้านทานมา กระแสจะผ่านได้น้อย ถ้าน้อยจะมีกระแสผ่านได้มากตัวต้านทานจะมี2ชนิด ครับคือ
-แบบคงที่ และ
-แบบปรับค่าได้
ตัวต้านทานที่เขาผลิตมาจะมีสีต่างๆเพื่อแสดงค่ารวมทั้งค่าความคลาดเคลื่อนด้วย
ค่าความต้านทานจะเพิ่มขึ้นเมื่อเรานำตัวต้านทานมาต่ออันดับหรือที่เรียกว่าต่ออนุกรมกัน
2.ตัวเหนี่ยวนำ Inductor หรือ แอล คือขดลวดทองแดงที่อาบฉนวนหรือน้ำยาวานิช ตัวอย่างที่เห็นอุปกรณ์พวกนี้ได้แก่ หม้อแปลงที่มีการแปลงแรงดันไฟฟ้าให้สูงขึ้นหรือลดลงตามแต่จุดประสงค์การใช้งาน หม้อแปลงที่มีความถี่สูงๆจะเป็นแบบสวิทชิ่ง และฟลายแบค แอลที่เราสามารถพบเห็นได้อีกยกตัวอย่างอีกคือ แกนโชีคคอล์ย ใช้ในงานความถี่ แกนฟอร์ไรท์ ความถี่วิทยุ
3.ตัวเก็บประจุไฟฟ้า Capacitor หรือ ซี มีหน้าที่กักเก็บ คาย ประจุไฟฟ้าเทียบได้กับถังน้ำที่เก็บกักน้ำแล้วก็ปล่อยออกใช้งานได้ ซี จะมีค่าต่างๆตรงข้ามกับ อาร์ ถ้าต้องการเพิ่มค่าความจุของซีก็ต้องนำซีมาต่อกันในลักษณะ ขนาน ถ้าลดค่าต้องเอามาอนุกรมกันซีก็จะเเบ่งได้เป็น
-แแบปรับค่าได้
-แบบคงที่ และแบบคงที่นี้เองก็จะแบ่งได้เป็น แบบมีขั้วกับไม่มีขั้วได้อีกครับ
ประโยชน์ของซีก็เพื่อคัปลิ้งสัญญาณ เป็นตัวบายพาส ครับ
นอกจาก3อย่างที่ว่ามาข้างต้น ในงานอิเล็กทรอนิกส์ก็จะมีสิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาอีกคือสารกึ่งตัวนำ
-ไดโอด ใช้ในวงจรเร็กติฟายซึ่งก็จะมีแแบบฮาฟเวฟ ฟูลเวฟ แบบริดจ์ การจ่ายไฟให้ไดโอดมี2ลักษณะ นะครับ คือ ไบอัสตรงกับไบอัสกลับ จะพูดถึงความหมายแบบเร็กติฟายแบบง่ายๆคือ แปลงไฟAC เป็น DC นั่นเอง เพราะวงจรอิเล็กทรอนิกส์จะนำไฟดีซีไปเลี้ยงวงจรครับ
-ซีเนอร์ไดโอด ประโยชน์ของมันคือควบคุมแรงดันให้คงที่เมื่อซีเนอร์นำกระแสจะมีแรงดันตกคร่อมที่ตัวมันเองแรงดันนี้จะจ่ายให้โหลด การนำไปใช้งานเขาจะต้องจ่ายไฟไบอัสกลับให้กับซีเนอร์ไอโอดให้แรงดันที่จ่ายให้ซีเนอร์ไดโอดมีค่ายเท่ากับหรือมากกว่าค่าของตัวมันเองครับ
-ไอซี เร็กกูเลต นำมาใช้ควบคุมแรงดันหลักๆขะมี2แบบครับ คือใช้กับไฟบวก และใช้กับไฟลบเราจะสังเกตได้จากเบอร์ที่เขียนนำหน้า ถ้าขึ้นต้นด้วย79....จะใช้กับไฟลบ 78....จะใช้กับไฟบวกตัวหลังจะบอกโวลท์ที่ไอซีตัวนี้รกษาแรงดันไว้ 7905 รักษาไฟ -5โวลท์ เป็นต้นครับ
-ทรานซิสเตอร์ อุปกร์ชนิดนี้มี3ขาครับ มีขา B E C ชนิดของทรานซิสเตอร์ จะเป็น2โครงสร้างคือ แบบ NPN และ PNP ใช้ประโชยน์ในการไบอัส การขยายสัญญาณ ทำเป็นสวิตช์ ออน - ออฟก็ได้
-เฟท มอสเฟท มีลักษณะคล้ายๆ ทรานซิสเตอร์สามารถขยายสัญญาณ หรือทำเป็นสวิตช์ ออน-ออฟ ได้ เฟทก็แบ่งได้เป็น เจเฟท และมอสเฟท
1. เจเฟท มี N แชนแนล และ P แชนแนล
2.มอสเฟท จะมีมอสเฟทแแบบดีพลีชั่นN แชนแนล กับ P แชนแนล และ มอสเฟทแบบเอนเฮนซ์เมนต์ซึ่งก็จะมีแบบN แชนแนล กับ P แชนแนล เช่นกัน
-เอสซีอาร์ ส่วนมากนำมาใช้ในงานที่หนักๆ กำลังสูงๆต่อกับวงจรควบคุม อย่างเช่นมอเตอร์ ป้องกันแรงดันเกิน ควบคุมการออน-ออฟ
-ออปโตไอโซเลท เป็นสวิตช์เชื่อมโยงทางแสงเชื่อมโยงวงจร2วงจรโดยแยกกราวด์กันโครงสร้างภายในด้านหนึ่งก็เหมือนไดโอดเปล่งแสงเมื่อไบอัสตรงจะนำกระแสและมีแสง อีกด้านหนึ่งของวงจรก็เปรียบเป็นทรานซิสเตอร์ที่ได้รับแสงกระตุ้นที่ขา เบสทำให้ทรานซิสเตอร์ทำงานได้
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น